Archive for nProtect

คิดพล๊อตเรื่อง ลูกแก้วปีศาจ

หลังจากแต่งมาได้ประมาณ 13 หน้าแล้ว มีอันต้องรื้อบทแก้ใหม่ในฉากที่พระเอกพบกับนางเอกครั้งแรกนิดหน่อย เนื่องจากมันดูขัดๆ กับความเป็นจริง ถึงปฏิกริยาที่พระเอกพบกะคนที่เจอเป็นครั้งแรกบุกถึงห้องนอนตัวเอง -_-

สำหรับเรื่องนี้ จะแทรกข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างไปด้วย อย่างเช่นเล่มแรก จะสอนเรื่อง ยอมรับในความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ได้มาด้วยวิธีโกง (ขอจากลูกแก้วปีศาจ ตามชื่อ)

สำหรับนางเอกนั้น ฉากที่เจอกัน จะเป็นฉากที่นางเอก ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้พิทักษ์ลูกแก้ว มาขอชิ้นส่วนของมันที่ตกมายังโลกมนุษย์คืนไป (แต่ดันมาตอนกลางคืน ที่พระเอกนอนอยู่ -_-) หลังจากนั้น นางเอกก็ขอให้ช่วยเธอตามหาด้วย แต่ก็นะ ผู้พิทักษ์อีก 4 คน (รวมนางเอกเป็น 5 คน) ก็ลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อตามหาเช่นกัน แต่ในลักษณะแยกกันหา ที่เหลืออีก 2 คนทำหน้าที่เฝ้าส่วนที่ยังไม่ตกลงมา ส่วนนางเอกกับพระเอก อยู่บ้านเดียวกัน = =

พระเอกเลยสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นคนช่วยนางเอกหาด้วย เลยบอกคร่าวๆ ว่า ปู่ทวดของเขา ก็เคยทำงานนี้แบบเดียวกันมา (เท่ากับว่า นางเอกเคยเป็นบัดดี้ของปู่ทวด) เลยโดนพระเอกแซวเรื่องคุณย่าทวดไปพักหนึ่ง (นางเอกอายุกว่า 200 ปีแต่หน้าตา รูปร่างเหมือนคนอายุ 17 เอง)

หลังจากผ่านเล่ม 2 มาแล้ว (เรื่องนี้ สอนเรื่องการยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะคนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้) มาถึงเล่ม 3 ซึ่งเป็นช่วงหยุดยาว นางเอกก็เข้ามานอนเล่นและอ่านมังงะในเตียงของห้องนอนพระเอก (ขณะที่เขาก็เล่นคอมไปเรื่อยๆ) พระเอกก็เลยอยากให้เธอเล่าเรื่องสมัยปู่ทวดให้ฟัง เธอก็ลังเลอยู่ซักพัก ก่อนจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

ตอนนี้คิดพล๊อตไว้แค่นี้แหละ ต่อไปก็ความสามารถของเหล่าผู้พิทักษ์ ซึ่งเป็นนางฟ้าจากสวรรค์ ขนาดอยู่บนโลกมนุษย์ซึ่งมีกำไลผนึกพลังไว้ ยังมีแรงพอที่จะชกกำแพงทะลุ หรือยกของหนักกว่าตัวเอง 10 เท่าได้สบายๆ (ที่ขนาดผนึกไว้ให้พลังเหลือแค่ 10% แล้วนะ)

โดยแต่ละคน จะมีเวทย์แตกต่างกันไป เพื่อใช้ต่อสู้กับคนที่จะมาแย่งชิงลูกแก้วนั่นแหละ โดยนางเอกจะเป็น สายป้องกัน ซึ่งมีความสามารถในการปกป้องเพื่อนร่วมทีม (ตัวแท้งค์นั่นแหละ) แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีท่าโจมตีเลย ซึ่งท่าโจมตีของเธอ (ซึ่งเธอไม่อยากจะใช้ เพราะมันทำให้พี่น้องของเธอโดนลูกหลงเป็นประจำ) เป็นคนเดียวที่การโจมตีทั้งหมด เป็นลักษณะ AOE (Area of Effect) คือ มีระยะหวังผลค่อนข้างกว้าง โจมตีได้ทีเดียวหลายเป้าหมาย และรุนแรงพอสมควร ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ ของเธอ จะออกสายโจมตีเดี่ยวซะส่วนมาก (คนนึงเป็นธนูแสง เน้นระยะกลางถึงไกล คนนึงเป็นดาบ เน้นระยะประชิด คนนึงก็สายเวทย์ บลาๆ)

แต่บทโดยส่วนใหญ่ ก็จะเป็นนางเอกแหละนะ พี่น้องคนอื่นๆ โดยรวมแล้วไม่ค่อยมีบทซักเท่าใหร่ แต่ก็จะโผล่มาคอยช่วยเหลือนางเอกบ้าง แต่ไม่ต้องกลัวครับ โผล่ครบทุกคนแน่นอน

แต่มีอยู่ฉากนึง ซึ่งปีศาจตัวจริง แต่มีสถานะเป็นรองบอส ปรากฏตัวออกมาเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกไม่ทันตั้งตัว เลยสู้ไม่ได้) เธอ (นางเอก) ตัดสินใจทำลายผนึกพลังของเธอเพื่อต่อสู่ด้วย ทำให้พลังวิญญาณในฐานะเทพของเธอกลับเป็น 100% ทันที ก่อนที่จะให้น้องสาวของเธอ พาพระเอกหลบไปให้ห่างจากระยะของเวทย์มนต์เพื่อป้องกันลูกหลง และคอยช่วย support

ท่าที่ผมชอบที่สุด เหมือนจะเป็นท่าชื่อ Heaven Ray (ช่วยคิดชื่อภาษาไทยให้ทีครับ -_-) ซึ่งเป็นท่าเดียวที่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระยะ “ป้องกันไม่ได้” และจะไม่มีผลต่อข้าวของรอบๆ (มีผลเฉพาะต่อสิ่งมีชีวิต และวิญญาณเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะทำของรอบๆ พัง เพราะเหตุนี้ มันเลยทะลวงการป้องกันทุกชนิดเข้าไปได้) โดยสิ่งมีชีวิต หรือวิญญาณที่อยู่ในระยะของท่านี้ จะถูกทำลายและแตกสลายไปในทันที แม้แต่พี่น้องของตัวเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่แลกมาด้วย การใช้พลังที่สูงมาก (ใช้ท่านี้ทีเดียว ก็ไม่เหลือพลังต่อสู้แล้ว พลาดคือจบ) เธอจึงใช้ตอนที่แน่ใจว่า ไม่มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในระยะของท่า และสามารถจัดการกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้เท่านั้น

แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่กับพี่สาวคนโตของเธอ ซึ่งเป็นเวทย์ชนิด สาป หากพี่สาวของเธอทำตัวเอง หรือเป้าหมายให้กลายเป็นหิน จะทำให้ท่าของเธอไม่มีผลต่อเป้าหมายนั้นทันที เพราะถือว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เธอก็ไม่ได้ออกโรงเพราะต้องแยกไปตามหานั่นแหละ

เธอใช้ท่านี้จัดการปีศาจที่อยู่ในสถานะ “รองหัวหน้า” ได้ แต่ก็ไม่แตกสลายไปทันทีเพราะปีศาจพลังวิญญาณสูงมาก น้องของเธอดูออกก็เลยตามมาซ้ำ ก่อนที่จะเกริ่นถึงบอสใหญ่ ซึ่งตอนนี้พี่น้องทั้ง 7 คนออกมาต่อสู้ร่วมกัน (ช่วงนี้พระเอกไม่ค่อยมีบท)

แต่ก็นะ คิดไว้แค่นี้ก่อน 66666+ เรื่องยาวละ

ใกล้จะได้เข้าสู่โหมด “โลกส่วนตัว” อีกครั้งแล้วสินะ

ป.ล บทความนี้ทำฉบับร่างไว้ตั้งแต่ปีใหม่ เพิ่งจะมาได้เขียน

เอาล่ะ วันนี้ปีใหม่ ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่านครับ

ก่อนจะมาติดตามตอนนี้ เรามาย้อนความกันก่อนดีกว่า เพราะว่าแต่ก่อนนั้นผมเป็นคนที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง ถึงสูงมากกันเลยทีเดียว ซึ่งคอมพิวเตอร์ ก็คือโลกของผมนั่นเองครับ เอาน่ะ โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่ โลกของเขาก็คือเมาส์ กับคีย์บอร์ดอยู่แล้วแหละน่า

สมัยก่อน ผมมีเพื่อนในชีวิตจริงๆ แทบจะนับคนได้เลย ชอบทำอะไรอยู่คนเดียว สมัยเรียนก็ซื้อข้าวมานั่งกินคนเดียว คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คนไอเพื่อนรอบข้างหาว่าเราชอบนั่งเหม่อตอนเรียน ครับ ยอมรับ -_- ทำให้เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยจะได้ซักเท่าใหร่ จะมีบ้างก็พวกเพื่อนผู้หญิงที่มาคุยด้วย บางครั้งก็เลยออกจากโหมดโลกส่วนตัวชั่วคราว เพราะผมก็ไม่ได้มีนิสัยที่จะเอาโลกของผมไปยัดเยียดให้ใครเขารู้หรอก (แต่เอ๊ะ ไม่รวมคนกำลังอ่านเอนทรี่นี้เนอะ :P)

เอาล่ะ เข้าเรื่องกันต่อ เดี๋ยวผมพานอกเรื่องซะก่อน

ผู้หญิงในชีวิตจริง สำหรับผมนี่ เป็นเรื่องน่าเบื่อเลยทีเดียว หลังจากยอมเปิดใจคบคนปัจจุบัน สุดท้ายก็โดนทิ้ง (หรอ?) อีกแล้ว ไม่ว่าผมจะทำดีให้แค่ใหน ไม่ว่าผมจะให้อะไรไปมากเท่าใหร่ สุดท้ายก็เป็นแบบนี้กันทุกคน หายเงียบไปจากผมโดยไร้สาเหตุ คิดจะทิ้งก็ทิ้งกันโดยไม่บอกเลิกให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเลยหรอ? ไม่รู้นะว่าทุกครั้งที่เขาจิ้ม iPhone 5 ที่ผมให้ไปโดยไม่คิดตังซักบาทนั้น จะกระดากมือบ้างมั้ย

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่ “ความเงียบงัน” นะครับ ตั้งแต่ปีใหม่ ทัก line ไปคุณก็ไม่เคยตอบผมมาเลย โกรธอะไรผมล่ะ? ทำไมไม่พูดออกมา? เงินที่ยืมไป 2500 บอกจะคืนสิ้นปี หายเงียบ เห็นว่าเดือดร้อน (แต่ไม่เชื่อครึ่ง) ก็ยอมลงทุนควักเงินเก็บผมให้ไปก่อน โอเค ยังไงก็ยังไม่โกรธเท่าความเงียบตอนนี้

นี่คือคำถามที่ผมอยากจะถาม
– คุณไม่ยอมมาเจอผมตั้งแต่ต้นเดือนตุลาแล้ว ไม่อยากมาเจอ? ไม่อยากให้เห็นอะไรงั้นหรอ? งาน Meeting ที่ผมอุส่าออกค่าเข้าให้ แต่คุณกลับไม่ยอมมาเนี่ย ผมเสียเงินเปล่านะครับ เคยรู้กันบ้างมั้ย?
– ใหนจะงาน ATC และวันเกิดผมอีก รับปากอย่างดีว่าจะมา ถึงเวลากลับไม่ว่าง? ข้ออ้างเหมือนคนก่อนๆ เปี๊ยบ คิดว่าผมไม่รู้?
– อื่นๆ อีกเยอะ พิมพ์ในนี้จะหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้

ถึงจะผ่านการมีแฟนมาแค่ 3 คน ก็คงยังเอาไปเทียบกับผู้หญิงทั้งโลกไม่ได้สินะ ว่าเขาเป็นเหมือนกันหมด แต่ทุกคนที่ผมเจอมา ทำไมเป็นแบบนี้ทุกคนเลย? แรกๆ นัดไปใหนก็มา แต่หลังๆ ไม่ว่างตลอดเนี่ย มันหมายความว่ายังไงครับ?

คิดแล้วขึ้นจริงๆ เครียดเรื่องแม่ก่อหนี้ให้กรูต้องไปใช้ เดือดร้อนตังกรูก็มากพอแล้ว ยังต้องมาเครียดเรื่องของคุณอีก

ต่อแต่นี้ผมก็จะให้สัญญากับตัวเอง ว่าจะไม่ยอมรับใครเข้ามาง่ายๆ อีกแล้ว ขออยู่ในโลกที่ผมมีความสุข ถึงแม้จะไม่ใช้โลกแห่งความจริงจะดีกว่า

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน

ให้ตายสิ ปากพาจนจังนะเรา พูดว่าเมื่อใหร่จะหนาว พอนอนแล้ววันต่อมาเท่านั้นแหละ หนาวจนสั่นอาบน้ำไม่ได้เลย ฮ่าๆ

DCIM100MEDIA

ป.ล รูปนี้ไม่เกี่ยวอะไร ถ่ายมาลงประกอบบรรยากาศเฉยๆ (เอาจริงๆ ก็ถ่ายมานานแล้ว)

หลังจากหนาวนี้ ก็ไม่รู้อะไรนักหนา ได้แผลมาเพิ่มอีก 2 แผล แผลในปาก กับ แผลที่ขา เพราะเดินไปเตะอะไรเข้าจนเลือดคั่ง ต้องเอามีดมากรีดเพื่อเอาเลือดที่คั่งออก -_- ดีนะมันไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่โดยรวมแผลก็คงไม่เป็นอะไรมาก ร่างกายจัดการได้อยู่แล้ว แต่หลายแผลพร้อมกันแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ทรมาณชิบ!!!

แถมๆๆๆ ภูมิแพ้ยังมากำเริบเอาง่ายๆ เพราะอากาศมันแห้งอีก เอาเข้าไป นอนอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่ามั้ยเนี่ย

ทำดีไม่หวังผลตอบแทน มีจริงบนโลกนี้หรือ?

มาต่อกับเอนทรี่ ที่ผมเกริ่นไว้ในคราวก่อนกันนะครับ

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ อาจขัดใจพวกโลกสวยหลายๆ คน เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าตัวเองโลกสวย กด X ทางขวามือออกไปเลยครับ

เอาล่ะ เข้าเรื่องจริงๆ ซักที มุมมองนี้เป็นเฉพาะมุมมองของผมคนเดียว เพราะฉะนั้น อาจผิดพลาดไปบ้างนะครับ ปรัชญาที่หนึ่งกล่าวไว้ว่า ทุกคนเกิดมาเป็นคนชั่ว การทำดีจึงเป็นสิ่งที่เหมือนของปลอม (ราวๆ นี้แหละจำได้ไม่หมด -_-) นั่นก็ถูกของเขาครับ มนุษทุกคนไม่รู้จักพอผม มีกิเลสตัณหา อยากจะหาสิ่งของนอกกายมาเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง (ผมก็เป็นมนุษเดินดินคนนึง แบบนี้ก็ต้องเป็นครับ) เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกัน จริงหรือ ที่คำว่า ทำดีหวังผลตอบแทนนั้น ไม่มีอยู่จริงบนโลกนี้ เรื่องนี้คือเรื่องจริงครับ อย่างน้อยๆ เวลาคุณช่วยเหลือใคร คุณก็หวังคำว่าขอบคุณแล้วถูกมั้ยครับ? หรือจะเถียง?

เพราะฉะนั้น คำนี้ถึงไม่มีจริงบนโลกนี้ตามความคิดของผมไงครับ ตามสัญชาติญาณมนุษแล้ว ทุกคนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นครับ แต่เพราะไม่ว่าจะเป็นคำสอนจากคนรุ่นก่อนๆ ศาสนา กฏหมายบ้านเมือง หรือจะอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรา รู้จักช่วยเหลือคนอื่นในสังคม ทำให้สังคมของคนเรานั้นไม่วุ่นวายหรือเกิดกลียุคขึ้น

แต่ถึงหัวข้อผมจะเกริ่นแบบนั้น ผมก็ยังสนับสนุนให้ทุกคนทำดี ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่เราพอจะช่วยได้ (มายืมตังก็ขอบายนะครับ!) แต่ผมคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มีคนดี 100% ในโลกของเราได้ แต่ จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือตัวของเราเอง ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ผมก็ยังขอทำตามเจตนารมณ์ของผมต่อไป ถึงจุดยืนอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่หลักๆ เนื้อหายังคงเหมือนเดิมครับ

เธอไม่มีเวลาหรือผมว่างมากเกินไป

เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะเขียนหรอกเรื่องนี้ (แต่ก็เขียนจนได้นะแก) แต่ถ้าเก็บไว้ มีแต่จะทำให้ผมเครียดซะเปล่าๆ แต่ก็นะ ดึกขนาดนี้จะไปรบกวนใครเขามาฟังปัญหาชีวิตก็คงใช่เรื่อง (เช้าแล้วแหละไม่ใช่ดึก) แต่ผมว่า ถ้าคนอ่านมาอ่านๆ เรื่องนี้เข้า คงจะบ่นอุบแหงๆ ว่ามุงจะเล่าแต่เรื่องเดิมๆ ทำไมวะ = = แล้วก็คงจะเมินหน้าหนี แต่เอาเถอะ ถ้ามีเหตุการทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อย ก็จะเขียนบ่อยขึ้น (เอ๊ะ ยังไง?) ยังไงผู้อ่านก็อย่าเพิ่งเบื่อกันซะก่อนล่ะ ฮ่าๆ (กด อ่านต่อ เลย เดี๋ยวรกหน้าแรก)

Read more